วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2560


บันทึกการเรียน ครั้งที่ 2

วันพุธ ที่ 18 มกราคม 2560

เวลา 8.30 - 12.30 น.
 
ความรู้ที่ได้รับ 


ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
  1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง
มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา
เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า “เด็กปัญญาเลิศ”
•เด็กที่มีความสามารถทางสติปัญญา
•มีความถนัดเฉพาะทางสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ
•พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
•เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
•อยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง ชอบซักถาม
•มีเหตุผลในการแก้ปัญหา  การใช้สามัญสำนึก
•จดจำได้รวดเร็วและแม่นยำ


2.  กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
1.เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา



   หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญา หรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย เมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกัน
มี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า และเด็กปัญญาอ่อน
เด็กเรียนช้า
  - สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
  - เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
  - ขาดทักษะในการเรียนรู้
  - มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
  - มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90
สาเหตุของการเรียนช้า
1. ภายนอก
•เศรษฐกิจของครอบครัว
•การสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
•สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
•การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
   •วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
2. ภายใน
  พัฒนาการช้า
  •การเจ็บป่วย
เด็กปัญญาอ่อน
  - ระดับสติปัญญาต่ำ
  - พัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
  - มีพฤติกรรมการปรับตนบกพร่อง
  - อาการแสดงก่อนอายุ 18
เด็กปัญญาอ่อน
แบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม
   1. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
    - ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ ได้เลย
    - ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34
  •ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้นง่าย ๆ
    •กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R (Custodial Mental Retardation)
   3. เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49
   - พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่าย ๆ ได้
   - สามารถฝึกอาชีพ หรือทำงานง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้
   - เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R (Trainable Mentally Retarded)
4. เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70
  •เรียนในระดับประถมศึกษาได้
  •สามารถฝึกอาชีพและงานง่าย ๆ ได้
  •เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded)

           ดาวน์ซินโดรม Down Syndrome
  สาเหตุ
•ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21
•ที่พบบ่อยคือโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง (Trisomy 21)
อาการ
•ศีรษะเล็กและแบน  คอสั้น
•หน้าแบน ดั้งจมูกแบน
•ตาเฉียงขึ้น ปากเล็ก
•ใบหูเล็กและอยู่ต่ำ รูหูส่วนนอกจะตีบกว่าปกติ
•เพดานปากโค้งนูน ขากรรไกรบนไม่เจริญเติบโต
•ช่องปากแคบ ลิ้นยื่น ฟันขึ้นช้าและไม่เป็นระเบียบ
•มือแบนกว้าง นิ้วมือสั้น
•เส้นลายมือตัดขวาง นิ้วก้อยโค้งงอ
•ช่องระหว่างนิ้วเท้าที่ 1 และ 2 กว้าง
•มีความผิดปกติในระบบต่างๆ ของร่างกาย
•บกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
•อารมณ์ดีเลี้ยงง่าย ร่าเริง เป็นมิตร
•มีปัญหาในการใช้ภาษาและการพูด
•อวัยวะเพศมักเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทั้งในชายและหญิง

2.เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน


หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง หรือสูญเสียการได้ยิน
เป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจน
มี 2 ประเภท คือ เด็กหูตึง และ เด็กหูหนวก
 เด็กหูตึง
  หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินตั้งแต่ 26-40 dB
  เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบา ๆ เช่น เสียงกระซิบ หรือเสียงจากที่ไกล ๆ

 2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่ 41-55 dB
  - เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด
  - จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
  - มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดปกติ
3. เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินตั้งแต่ 56-70 dB
 
 - เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
   - เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
   - มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
   - มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ
   - พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
 4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินตั้งแต่ 71-90 dB
   - เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
   - ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต
   - การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
   - เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง
   - เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด
เด็กหูหนวก
   - เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
   - เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
   - ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
   - ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป

ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
•ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
•ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
•พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
•พูดด้วยเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
•พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
•เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
•รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
•มักทำหน้าที่เด๋อเมื่อมีการพูดด้วย
3.เด็กที่บกพร่องทางการเห็น


  - เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง เห็นเลือนราง
  - มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
  - สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
  - มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา
จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท 
เด็กตาบอด 
 - เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง
   - ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
   - มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60 , 20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
   - มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา
เด็กตาบอดไม่สนิท
  - เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
   - สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
   - เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18, 20/60, 6/60, 20/200 หรือน้อยกว่านั้น
   - มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการเห็น
•เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
•มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
•มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
•ก้มศีรษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
•เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง เมื่อใช้สายตา
•ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
•มีความลำบากในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต


เนื่องจากสองวันที่ผ่านเป็นครู พวกหนูได้นำพวงมาลัยมาไหว้อาจารย์ที่เคารพ ขอให้อาจารย์สุขภาพเเข็งเเรง ประสบความสำเร็จทุกประการนะค่ะ 
การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
  •    สามารถนำความรู้พื้นฐานสำหรับเด็กปฐมวัยไปใช้ปฎิบัติกับเด็กพิเศษได้
ประเมินตนเอง
  • ตรงต่อเวลา ตั้งใจเรียน
ประเมินเพื่อน
  • ตั้งใจเรียน
ประเมินอาจารย์
  • อาจารย์เเต่งตัวเรียบร้อย พูดจาเพราะ ยกตัวอย่างการสอนได้เข้ามาก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น