วันพุธที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2560


บันทึกการเรียน ครั้งที่ 9

วันพุธ ที่ 22 มีนาคม 2560

เวลา 8.30 - 12.30 น.
ความรู้ที่ได้รับ



  หนังสือเล่มนี้เป็นหนังการจัดทำสารนิทัศน์ในระดับปฐมวัยมีความสำคัญมาก อาจารย์จึงเเนะนำให้ควรมีเก็บไว้ เพื่อที่จะได้ใช้ในอนาคต


การส่งเสริมพัฒนาการและการปรับพฤติกรรมเด็กปฐมวัยที่มี
ความต้องการพิเศษ
•เพื่อให้เด็กสามารถช่วยเหลือตนเองได้ในชีวิตประจำวัน
•ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ใกล้เคียงกับคนปกติมากที่สุด
•เน้นการดูแลแบบองค์รวม (Holistic Approach)


1.การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการศึกษา
•เพิ่มทักษะพื้นฐานด้านสังคม การสื่อสาร และทักษะทางความคิด
•เกิดผลดีในระยะยาว
•เน้นการเตรียมความพร้อมเพื่อให้เด็กสามารถใช้ในชีวิตประจำวันจริงๆแทนการฝึกแต่เพียงทักษะทางวิชาการ
•แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล
(Individualized Education Program; IEP)
•โรงเรียนการศึกษาพิเศษเฉพาะทาง โรงเรียนเรียนร่วม ห้องเรียนคู่ขนาน

2.การฟื้นฟูสมรรถภาพทางสังคม
•การฝึกฝนทักษะในชีวิตประจำวัน
(Activity of Daily Living Training)
•การฝึกฝนทักษะสังคม (Social Skill Training)
•การสอนเรื่องราวทางสังคม (Social Story)


3. การบำบัดทางเลือก
•การสื่อความหมายทดแทน (AAC)
•ศิลปกรรมบำบัด (Art Therapy)
•ดนตรีบำบัด (Music Therapy)
•การฝังเข็ม (Acupuncture)
•การบำบัดด้วยสัตว์ (Animal Therapy)


การสื่อความหมายทดแทน (Augmentative and Alternative Communication; AAC)
•การรับรู้ผ่านการมอง (Visual Strategies)
•โปรแกรมแลกเปลี่ยนภาพเพื่อการสื่อสาร (Picture Exchange Communication System; PECS)
•เครื่องโอภา (Communication Devices)
•โปรแกรมปราศรัย 


Picture Exchange Communication System(PECS)






บทบาทของครู
•ตำแหน่งการนั่งของเด็กไม่ควรให้นั่งติดหน้าต่างหรือประตู
•ให้เด็กนั่งแถวหน้าสุดใกล้โต๊ะครู
•จัดให้เด็กนั่งติดกับนักเรียนที่ไม่ค่อยเล่น ไม่ค่อยคุยในระหว่างเรียน
•ให้เด็กมีกิจกรรม เปลี่ยนอิริยาบถบ้าง


การส่งเสริมทักษะต่างๆของเด็กพิเศษ


1.ทักษะทางสังคม
•เด็กพิเศษที่ขาดทักษะทางสังคม ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการพ่อแม่
•การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันว่าเด็กจะมีพัฒนาการต่างๆอย่างมีความสุข

กิจกรรมการเล่น
•การเล่นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการเรียนรู้ทักษะทางสังคม
•เด็กจะสนใจกันเองโดยอาศัยการเล่นเป็นสื่อ
•ในช่วงแรกๆ เด็กจะไม่มองเด็กคนอื่นเป็นเพื่อน แต่เป็นอะไรบางอย่างที่น่าสำรวจ สัมผัส ผลัก ดึง


ยุทธศาสตร์การสอน
•เด็กพิเศษหลายๆคนไม่รู้วิธีเล่น ไม่รู้ว่าจะเล่นอย่างไร
•ครูเริ่มต้นจากการสังเกตเด็กแต่ละคนอย่างเป็นระบบ
•จะบอกได้ว่าเด็กมีทักษะการเล่นแบบใดบ้าง
•ครูจดบันทึก
•ทำแผน IEP


การกระตุ้นการเลียนแบบและการเอาอย่าง
•วางแผนกิจกรรมการเล่นไว้หลายๆอย่าง
•คำนึงถึงเด็กทุกๆคน
•ให้เด็กเล่นเป็นกลุ่มเล็กๆ 2-4 คน
•เด็กปกติทำหน้าที่เหมือน “ครู” ให้เด็กพิเศษ


ครูปฏิบัติอย่างไรขณะเด็กเล่น•อยู่ใกล้ๆ และเฝ้ามองอย่างสนใจ
•ยิ้มและพยักหน้าให้ ถ้าเด็กหันมาหาครู
•ไม่ชมเชยหรือสนใจเด็กมากเกินไป
•เอาวัสดุอุปกรณ์มาเพิ่ม เพื่อยืดเวลาการเล่น
•ให้ความคิดเห็นที่เป็นแรงเสริม

การให้แรงเสริมทางสังคมในบริบทที่เด็กเล่น
•ครูพูดชักชวนให้เด็กร่วมเล่นกับเพื่อน
•ทำโดย “การพูดนำของครู”

ช่วยเด็กทุกคนให้รู้กฎเกณฑ์
•ไม่ง่ายสำหรับเด็กพิเศษ
•การให้โอกาสเด็ก
•เด็กพิเศษต้องเรียนรู้สิทธิต่างๆเหมือนเพื่อนในห้อง
•ครูต้องไม่ใช้ความบกพร่องของเด็กพิเศษเป็นเครื่องต่อรอง


2. ทักษะภาษา
การวัดความสามารถทางภาษา
•เข้าใจสิ่งที่ผู้อื่นพูดไหม
•ตอบสนองเมื่อมีคนพูดด้วยไหม
•ถามหาสิ่งต่างๆไหม
•บอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นไหม
•ใช้คำศัพท์ของตัวเองกับเด็กคนอื่นไหม







การออกเสียงผิด / พูดไม่ชัด
•การพูดตกหล่น
•การใช้เสียงหนึ่งแทนอีกเสียง
•ติดอ่าง

การปฏิบัติของครูและผู้ใหญ่
•ไม่สนใจการพูดซ้ำหรือการออกเสียงไม่ชัด
•ห้ามบอกเด็กว่า “พูดช้าๆ” “ตามสบาย” “คิดก่อนพูด”
•อย่าขัดจังหวะขณะเด็กพูด
•อย่าเปลี่ยนการใช้มือข้างที่ถนัดของเด็ก
•ไม่เปรียบเทียบการพูดของเด็กกับเด็กคนอื่น
•เด็กที่พูดไม่ชัดอาจเกี่ยวข้องกับการได้ยิน

ทักษะพื้นฐานทางภาษา
•ทักษะการรับรู้ภาษา
•การแสดงออกทางภาษา
•การสื่อความหมายโดยไม่ใช้คำพูด 


ความรับผิดชอบของครูปฐมวัย

•การรับรู้ภาษามาก่อนการแสดงออกทางภาษา
•ภาษาที่ไม่ใช่คำพูดมาก่อนภาษาพูด
•ให้เวลาเด็กได้พูด
•คอยให้เด็กตอบ (ชี้แนะหากจำเป็น)
•เป็นผู้ฟังที่ดีและโตต้อบอย่างฉับไว (ครูไม่พูดมากเกินไป)
•เด็กไม่ได้เรียนรู้ภาษาจากการฟังเพียงอย่างเดียว
•ให้เด็กทำกิจกรรมกลุ่ม เด็กพิเศษได้มีแบบอย่างจากเพื่อน
•กระตุ้นให้เด็กบอกความต้องการของตนเอง (ครูไม่คาดการณ์ล่วงหน้า)
•เน้นวิธีการสื่อความหมายมากกว่าการพูด
•ใช้คำถามปลายเปิด
•เด็กพิเศษรับรู้มากเท่าไหร่ ยิ่งพูดได้มากเท่านั้น
•ร่วมกิจกรรมกับเด็ก

การสอนตามเหตุการณ์(Incidental Teaching)


3.ทักษะการช่วยเหลือตนเอง
เรียนรู้การดำรงชีวิตโดยอิสระให้มากที่สุด
การกินอยู่
การเข้าห้องน้ำ
การแต่งตัว
กิจวัตรต่างๆในชีวิตประจำวัน

การสร้างความอิสระ


•เด็กอยากช่วยเหลือตนเอง
•อยากทำงานตามความสามารถ
•เด็กเลียนแบบการช่วยเหลือตนเองจากเพื่อน เด็กที่โตกว่า และผู้ใหญ่

ความสำเร็จเป็นสิ่งสำคัญ
•การได้ทำด้วยตนเอง
•เชื่อมั่นในตนเอง
•เรียนรู้ความรู้สึกที่ดี

หัดให้เด็กทำเอง
•ไม่ช่วยเหลือเกินความจำเป็น (ใจแข็ง)
•ผู้ใหญ่มักทำสิ่งต่างๆให้เด็กมากเกินไป
•ทำให้แม้กระทั่งสิ่งที่เด็กสามารถทำได้เองหากให้เวลาเขาทำ
•“ หนูทำช้า ” “ หนูยังทำไม่ได้ ”

จะช่วยเมื่อไหร่
•เด็กก็มีบางวันที่ไม่อยากทำอะไร , หงุดหงิด , เบื่อ , ไม่ค่อยสบาย
•หลายครั้งเด็กจะขอความช่วยเหลือในสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปแล้ว
•เด็กรู้สึกว่ายังมีผู้ใหญ่ที่พึ่งได้ แต่ต้องได้รับความช่วยเหลือเฉพาะสิ่งที่เด็กต้องการ
•มักช่วยเด็กในช่วงกิจกรรม





ลำดับขั้นในการช่วยเหลือตนเอง
•แบ่งทักษะการช่วยเหลือตนเองออกเป็นขั้นย่อยๆ
•เรียงลำดับตามขั้นตอน


การเข้าส้วม•เข้าไปในห้องส้วม
•ดึงกางเกงลงมา
•ก้าวขึ้นไปนั่งบนส้วม
•ปัสสาวะหรืออุจจาระ
•ใช้กระดาษชำระเช็ดก้น
•ทิ้งกระดาษชำระในตะกร้า
•กดชักโครกหรือตักน้ำราด
•ดึงกางเกงขึ้น
•ล้างมือ
•เช็ดมือ
•เดินออกจากห้องส้วม

สรุป
•ครูต้องพยายามให้เด็กทำสิ่งต่างๆด้วยตนเอง
•ย่อยงานแต่ละอย่างเป็นขั้นๆ
•ความสำเร็จขั้นเล็กๆนำไปสู่ความสำเร็จทั้งมวล
•ช่วยให้เด็กมีความมั่นใจในตนเอง
•เด็กพึ่งตนเองได้ รู้สึกเป็นอิสระ

4. ทักษะพื้นฐานทางการเรียน
เป้าหมาย•การช่วยให้เด็กแต่ละคนเรียนรู้ได้
•มีความรู้สึกดีต่อตนเอง
•เด็กรู้สึกว่า “ฉันทำได้”
•พัฒนาความกระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็น
•อยากสำรวจ อยากทดลอง 

ช่วงความสนใจ
•ต้องมีก่อนการเรียนรู้อื่นๆ
•จดจ่อต่อกิจกรรมในช่วงเวลาหนึ่งได้นานพอสมควร
การเลียนแบบ
การทำตามคำสั่ง คำแนะนำ
•เด็กได้ยินสิ่งที่ครูพูดชัดหรือไม่
•เด็กเข้าใจคำศัพท์ที่ครูใช้หรือไม่
•คำสั่งยุ่งยากซับซ้อนไปหรือไม่
การรับรู้ การเคลื่อนไหว
•ได้ยิน เห็น สัมผัส ลิ้มรส กลิ่น
•ตอบสนองอย่างเหมาะสม

การควบคุมกล้ามเนื้อเล็ก
•การกรอกน้ำ ตวงน้ำ
•ต่อบล็อก
•ศิลปะ
•มุมบ้าน
•ช่วยเหลือตนเอง
ตัวอย่างอุปกรณ์สำหรับเด็กพิเศษ

•ลูกปัดไม้ขนาดใหญ่
•รูปต่อที่มีจำนวนชิ้นไม่มาก 

ความจำ
•จากการสนทนา
•เมื่อเช้าหนูทานอะไร
•แกงจืดที่เรากินใส่อะไรบ้าง
•จำตัวละครในนิทาน
•จำชื่อครู เพื่อน
•เล่นเกมทายของที่หายไป

การวางแผนการเตรียมพื้นฐานทางวิชาการ
•จัดกลุ่มเด็ก
•เริ่มต้นเรียนรู้โดยใช้ช่วงเวลาสั้นๆ
•ให้งานเด็กแต่ละคนอย่างชัดเจนว่าต้องทำที่ไหน
•ติดชื่อเด็กตามที่นั่ง
•ใช้อุปกรณ์ที่เด็กคุ้นเคย
•ใช้อุปกรณ์ที่เด็กคุ้นเคย
•บันทึกว่าเด็กชอบอะไรที่สุด
•รู้ว่าเมื่อไหร่จะเปลี่ยนงาน
•มีอุปกรณ์ไว้สับเปลี่ยนใกล้มือ
•เตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อนเด็กมาถึง
•พูดในทางที่ดี
•จัดกิจกรรมให้เด็กได้เคลื่อนไหว
•ทำบทเรียนให้สนุก

กรณีที่เด็กพิเศษไม่ยอมเข้าไปเล่นร่วมกับเพื่อน

  ครูพูดชวนเด็กเข้ามาเล่นกับเพื่อน เรียกชื่อเด็ก เเตะตัวเด็กหรือโอบกอดเมื่อเด็กไม่ยอมเดินมาหาเพื่อน 
ครูถามเด็กว่าอยากไปเล่นทรายกับเพื่อนไหม ถามย้ำๆ ซ้ำๆ ในกรณีที่เด็กไม่ตอบ 
   เมื่อเดินเข้าไปครูควรนำอุปกรณ์ของเล่นทรายให้เด็ก เพื่อที่จะเป็นจุดสนในในเพื่อนที่เล่นทรายอยู่ ครูพูดกระตุ้นให้เล่นในกลุ่มเด็กด้วยกัน ครูจับมือเด็กพิเศษเล่นกับเพื่อน สักพักครูถอยออกมายืนดูเด็กพิเศษเลยกับเพื่อนเล่นทรายเพื่อสังเกตพฤติกรรมก่อน 
กรณีเด็กพิเศษใส่ผ้ากันเปื้อนไม่ได้

   ครูยืนสังเกตเด็กก่อนอย่างพึงรีบเข้าไปช่วยเด็ก เมื่อเด็กยังทำไม่ได้ให้ครูเรียกชื่อเด็ก เเตะตัว ถามเด็กว่าทำอะไรอยู่ค่ะ เมื่อเด็กไม่ตอบให้ครูถามซ้ำเรื่อยๆ เด็กไม่ยอมตอบ ก็เปลี่ยนคำถามว่าหนูใช่ผ้ากันเปื้อนอยู่ใช่ไหม ครูสอนเด็กใสผ้ากันเปื้อนที่ละขั้นตอน ครูจับมือเด็กใส่
การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
  • สามารถนำเทคนิคต่างๆที่อาจารย์สอนไปใช้กับเด็กพิเศษได้จริง
ประเมินตนเอง
  • ตั้งใจเรียน เข้าเรียนตรงเวลา
ประเมินเพื่อน
  • ตั้งใจเรียน
ประเมินอาจารย์
  • อาจารย์เเต่งตัวเรียบร้อย พูดจาเพราะ ยกตัวอย่างการสอนได้อย่างเข้าใจ



บันทึกการเรียน ครั้งที่ 8

วันพุธ ที่ 15 มีนาคม 2560

เวลา 8.30 - 12.30 น.


ความรู้ที่ได้รับ


       วันนี้อาจารย์ได้นำคลิปวีดีโอของเด็กพิเศษให้นักศึกษาดู เป็นน้องเคยเรียนอยู่โรงเรียนเกษมพิทยา มีความสามารถในด้านดนตรี ชื่อว่าน้องช่อแก้วสร้างกำลังใจได้ด้วยเสียง"ดนตรี"จึงได้ไปร่วมเเสดงรายการทีวีในรายการซูเปอร์เท็น
ชมคลิปด้านล่าง


รูปแบบการจัดการศึกษา
•การศึกษาปกติทั่วไป (Regular Education)
•การศึกษาพิเศษ (Special Education)
•การศึกษาแบบเรียนร่วม (Integrated Education หรือ Mainstreaming)
•การศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education)


การจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
•เด็กที่มีความต้องการพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา

ความหมายของการศึกษาแบบเรียนร่วม (IntegratedEducation หรือ Mainstreaming)
•การจัดให้เด็กพิเศษเข้าไปในระบบการศึกษาทั่วไป
•มีกิจกรรมที่ให้เด็กพิเศษกับเด็กทั่วไปได้ทำร่วมกัน
•ใช้ช่วงเวลาช่วงใดช่วงหนึ่งในแต่ละวัน
•ครูปฐมวัยและครูการศึกษาพิเศษร่วมมือกัน

การเรียนร่วมบางเวลา (Integration)
•การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติในบางเวลา
•เด็กพิเศษได้มีโอกาสแสดงออก และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กปกติ
•เป็นเด็กพิเศษที่มีความพิการระดับปานกลางถึงระดับมาก จึงไม่อาจเรียนร่วมเต็มเวลาได้

การเรียนร่วมเต็มเวลา (Mainstreaming)
•การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติตลอดเวลาที่เด็กอยู่ในโรงเรียน
•เด็กพิเศษได้รับการจัดกระบวนการเรียนรู้และบริการนอกห้องเรียนเหมือนเด็กปกติ
•มีเป้าหมายเพื่อให้เด็กเข้าใจซึ่งกันและกัน ตอบสนองความต้องการซึ่งกันและกันและมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
•เด็กปกติจะยอมรับความหลากหลายของมนุษย์ เข้าใจว่าคนเราเกิดมาไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกอย่าง ท่ามกลางความแตกต่างกัน มนุษย์เราต้องการความรัก ความสนใจ ความเอาใจใส่เช่นเดียวกันทุกคน

ความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม
(Inclusive Education)
•การศึกษาสำหรับทุกคน
•รับเด็กเข้ามาเรียนรวมกันตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษา
•จัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล

Wilson , 2007
•การจัดการเรียนการสอนที่ยึดปรัชญาของการอยู่รวมกัน (Inclusion) เป็นหลัก
•การสอนที่ดี เป็นการสอนที่ครูกับนักเรียนช่วยกันให้ทุกคนเป็นสมาชิกที่ดีของชุมชน
•กิจกรรมทุกชนิดที่จะนำไปสู่การสอนที่ดี (Good Teaching) ต้องคิดอย่างรอบคอบเพื่อหาหนทางให้นักเรียนทุกคนสามารถเรียนได้
•เป็นการกำหนดทางเลือกหลายๆ ทาง

"Inclusive Education is Education for all, 

It involves receiving people 

at the beginning of their education, 
with provision of additional services 
needed by each individual"

สรุปความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม
•เป็นการจัดการศึกษาที่จัดให้เด็กพิเศษเข้ามาเรียนรวมกับเด็กปกติ โดยรับเข้ามาเรียนรวมกัน ตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษาและจัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล
•เด็กพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา
•เกิดจากปรัชญาการศึกษาที่กล่าวไว้ว่า การศึกษาสำหรับทุกคน
(Education for All)
•การเรียนรวม เป็นแนวคิดทางการศึกษาอย่างหนึ่งที่โรงเรียนจะต้องจัดการศึกษาให้กับเด็กทุกคนโดยไม่มีการแบ่งแยกว่าเด็กคนใดเป็นเด็กปกติ หรือเด็กคนใดเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
•เด็กเลือกโรงเรียนไม่ใช่โรงเรียนเลือกเด็ก
•เด็กทุกคนที่ผู้ปกครองพาเข้ามาโรงเรียนทางโรงเรียนจะต้องรับเด็กไว้ และจะต้องจัดการศึกษาให้อย่างเหมาะสม และดำเนินการเรียนในลักษณะ “รวมกัน” ที่ทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่ง ของสังคม ทุกคนยอมรับซึ่งกันและกัน
•ทุกคนยอมรับว่ามี ผู้พิการ อยู่ในสังคมและเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่จะต้องใช้ชีวิตร่วมกันกับคนปกติ โดยไม่มีการแบ่งแยก 

ความสำคัญของการศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
•ปฐมวัยเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดของการเรียนรู้
•“สอนได้”
•เป็นการจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษที่มีขีดจำกัดน้อยที่สุด

บทบาทครูปฐมวัย ในห้องเรียนรวม
  • ครูไม่ควรวินิจฉัย
  • ครูไม่ควรตั้งชื่อหรือระบุประเภทเด็ก
  • ครูไม่ควรบอกพ่อแม่ว่าเด็กมีบางอย่างผิดปกติ
ครูทำอะไรบ้าง
•ครูสามารถชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของเด็กในเรื่องที่เกี่ยวกับพัฒนาการต่างๆ
•ให้ข้อแนะนำในการหาบุคลากรที่เหมาะสมในการประเมินผลหรือวินิจฉัย

สังเกตเด็กอย่างมีระบบ
•จดบันทึกพฤติกรรมเด็กเป็นช่วงๆ
สังเกตอย่างมีระบบ
•ไม่มีใครสามารถสังเกตอย่างมีระบบได้ดีกว่าครู
•ครูเห็นเด็กในสถานการณ์ต่างๆ ช่วงเวลายาวนานกว่า
•ต่างจากแพทย์ นักจิตวิทยา นักคลินิก มักมุ่งความสนใจอยู่ที่ปัญหา

การตรวจสอบ
•จะทราบว่าเด็กมีพฤติกรรมอย่างไร
•เป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้ครูและพ่อแม่เข้าใจเด็กดีขึ้น
•บอกได้ว่าเรื่องใดบ้างที่เด็กต้องการความช่วยเหลือ

ข้อควรระวังในการปฏิบัติ
•ครูต้องไวต่อความรู้สึกและตัดสินใจล่วงหน้าได้
•ประเมินให้น้ำหนักความสำคัญของเรื่องต่างๆได้
•พฤติกรรมบางอย่างของเด็กไม่ได้ปรากฏให้เห็นเสมอไป

การบันทึกการสังเกต
•การนับอย่างง่ายๆ
•การบันทึกต่อเนื่อง
•การบันทึกไม่ต่อเนื่อง

การนับอย่างง่ายๆ
•นับจำนวนครั้งของการเกิดพฤติกรรม
•กี่ครั้งในแต่ละวัน กี่ครั้งในแต่ละชั่วโมง
•ระยะเวลาในการเกิดพฤติกรรม

การบันทึกต่อเนื่อง
•ให้รายละเอียดได้มาก
•เขียนทุกอย่างที่เด็กทำในช่วงเวลาหนึ่ง หรือช่วงกิจกรรมหนึ่ง
•โดยไม่ต้องเข้าไปแนะนำช่วยเหลือ 



การบันทึกไม่ต่อเนื่อง
•บันทึกลงบัตรเล็กๆ
•เป็นการบันทึกสั้นๆเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กแต่ละคนในช่วงเวลาหนึ่ง


การเกิดพฤติกรรมบางอย่างมากเกินไป
•ควรเอาใจใส่ถึงระดับความมากน้อยของความบกพร่อง มากกว่าชนิดองความบกพร่อง
•พฤติกรรมไม่เหมาะสมที่พบได้ในเด็กทุกคน ไม่ควรจัดเป็นสิ่งผิดปกติ


การตัดสินใจ
•ครูต้องตัดสินใจด้วยความระมัดระวัง
•พฤติกรรมของเด็กที่เกิดขึ้น ไปขัดขวางความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กหรือไม่ 
กิจกรรมในวันนี้
อาจารย์ให้วาดภาพตามที่เห็นบนกระดานเเล้วเก็บรายเอียดของภาพให้ได้มากที่สุด พร้อมเขียนบรรยายในภาพที่เห็น


    กิจกรรมในวันนี้ หมายถึง
เป็นการจดบันทึกสั้นๆเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กแต่ละคนในช่วงเวลาหนึ่ง โดยที่ครูนั้นจะต้องไม่ใส่ความคิดเห็นหรือความรุ้สึกลงไปเด็ดขาด ให้พฤติกรรมเเบบไหนให้บันทึกเเบบนั้น

การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้

  • สามารถนำความรู้ที่อาจารย์สอนไปใช้กับเด็กพิเศษได้จริง
ประเมินตนเอง
  • ตั้งใจเรียน เข้าเรียนตรงเวลา
ประเมินเพื่อน
  • ตั้งใจเรียน
ประเมินอาจารย์

  • อาจารย์เเต่งตัวเรียบร้อย พูดจาเพราะ ยกตัวอย่างการสอนได้อย่างเข้าใจ


วันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560


บันทึกการเรียน ครั้งที่ 7

วันพุธ ที่ 8 มีนาคม 2560

เวลา 8.30 - 12.30 น.

***สอบมิดเทอมการจัดประสบการณ์
การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย***